เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดมาในโลก เกิดมาในพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนที่สุดแห่งทุกข์ ในศาสนาอื่นเขาสอนให้มีตัวตน เขาสอนให้มีที่พึ่งอาศัยโดยการตัดสินของพระเจ้า ของเราปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์

ในการประพฤติปฏิบัติ นี่ไง เราเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาเห็นไหม เรามองไปที่เด็กสิ เด็กนี่ไร้เดียงสามาก การไร้เดียงสาของเด็กนี่ เพราะมันมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คุ้มครอง ความไร้เดียงสานั้นเลยเป็นสิ่งที่น่ารักน่าชัง นี่ความไร้เดียงสานั้นอยู่กับโลกเพราะอะไร เพราะความเมตตาของเรา

ทุกคนเห็นไหม เด็กจะเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้า เราจะฝากสังคมไว้ ฝากสมบัติของเราไว้ ฝากประเทศชาติของเราไว้ ให้คนรุ่นใหม่ได้ดูแล เราจะดูแลรักษาของเรา เพราะการไร้เดียงสา เราจะให้มีการศึกษา ให้มีจุดยืนของเรา นี่ในเรื่องของทางโลก

แต่ถ้าเป็นคนโตขึ้นมานี่ จะไร้เดียงสาได้ไหม เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้วนี่ ไร้เดียงสาพ่อแม่ปวดหัวเลย ลูกเรานี่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์

ความไร้เดียงสามันก็เป็นเหยื่อของสังคมใช่ไหม...

เพราะมันไร้เดียงสา! มันไม่รู้ทันสังคมเลย! แล้วสังคมมันโหดร้าย! มันเอารัดเอาเปรียบกัน! มันเห็นแก่ตัว!

ฉะนั้นการไร้เดียงสาแต่เด็กมันเป็นสิ่งที่น่ารักน่าชัง แต่การน่ารักน่าชังด้วยการปกป้อง ด้วยการดูแลของปู่ ย่า ตา ยาย ของพ่อ ของแม่ ของพี่ ป้า น้า อา ปกป้องให้เขาเติบโตขึ้นมาให้มีจุดยืนในสังคม นั้นการไร้เดียงสานั้นมันน่ารัก

แต่ถ้าโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ไปไร้เดียงสานั้น สังคมจะฝากไว้กับใคร ประเทศชาติจะฝากไว้กับใคร ประเทศชาติ สังคมของเรานี่ ตระกูลของเรานี่ จะฝากไว้กับคนที่ไร้เดียงสาให้มันปกครองดูแล เป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้!

ฉะนั้นเราจะต้องให้เขาพัฒนาเขาขึ้นมา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติกัน ปฏิบัติแบบไร้เดียงสา ว่างๆ ว่างๆ ทำอะไรให้มันไม่มีตัวตน ทำอะไรให้มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราเลย ไร้เดียงสาไง ไม่มีจุดยืน ไม่มีสิ่งใดๆ เลย การไร้เดียงสาอย่างนั้นน่ะ มันไม่เป็นประโยชน์กับการปฏิบัติหรอก

ในการประพฤติปฏิบัตินี่ จิตของเรามันไม่ไร้เดียงสานะ ถ้าจิตของเราไร้เดียงสา เวลามาปฏิสนธิ มาเกิดนี่ ดูสิ แม้แต่อยู่ในครรภ์นี่ เด็กนี่มันไร้เดียงสาในสภาวะของโลก ในสภาวะของทางวิชาการ สิ่งของโลกที่มันเป็นเล่ห์กลของโลก มันไร้เดียงสาเพราะมันยังไม่ทันเขา เพราะความคิดของสมองของเด็ก แต่เด็กมันอยู่ในท้องมันไม่พอใจมันก็ดิ้นนะ อยู่ในท้องมันยังเอาแต่ใจมันเลย มันยังดิ้นโครมๆ อยู่ในท้องนะ เวลาเกิดออกมาแล้ว ไม่ได้ดังใจมันจะร้องไห้ มันจะลงดิ้น พ่อ แม่ มีเท่าไรต้องควักให้มันนะ มันไร้เดียงสาไหม...?

มันไร้เดียงสาในทางโลก ในทางวิชาการ

แต่มันไม่ไร้เดียงสาเลย... กิเลสเต็มหัวใจของมัน!

เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เราจะปฏิบัติให้มันไร้เดียงสา ว่างๆ นิพพานไม่มีสิ่งใดเลย นี่นิพพานเมืองแก้ว ไร้เดียงสา! มันจะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมานี่ เราต้องมีจุดยืนของเราขึ้นมาก่อน มันต้องมีสติมีปัญญาของมันขึ้นมา มันจะต้องเติบโตขึ้นมา มันต้องมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา

ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเห็นไหม นี่เราเป็นผู้ใหญ่ ดูสิ ดูนายกรัฐมนตรีสิ ดูรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เขาต้องออกไปติดต่อกับสังคมโลก ถ้าเขาจะไร้เดียงสา... หมดนะ... เซ็นชื่อทีเดียวยกประเทศให้เขาเลย นี่แต่เวลาเขาออกไปนี่ ทำไมเขานุ่มนวลล่ะ เขารู้ของเขา เราจะเป็นผู้นำนะ เราต้องรู้กระแสลม รู้ทุกๆ อย่าง

หัวใจก็เหมือนกัน เราจะต่อสู้กับกิเลส กิเลสมันอยู่กับเราเห็นไหม เด็กเวลาไร้เดียงสานี่ ไม่พอใจมันก็ลงดิ้น มันจะเอาแต่ใจของมัน กิเลสที่มันครอบคลุมหัวใจของเรานี่ ว่างๆ นี่ ไร้เดียงสา สิ่งต่างๆ มันเป็นความนุ่มนวล มันเป็นความสุข ไร้เดียงสามาก

ไร้เดียงสาคือมันไม่มีแก่นสาร... มันพึ่งตัวเองไม่ได้...

ถ้าการพึ่งตัวเองไม่ได้นะ พุทธศาสนา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม พุทธะต้องเข้าใจ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

พุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเข้าไปอุปัฏฐาก เข้าไปดูแล เข้าไปรักษา เข้าไปประคองขึ้นมาก่อน ให้เติบโตขึ้นมาเหมือนเด็กๆ เด็กๆ มันช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าเด็กๆ ช่วยตัวเองไม่ได้นะ สัตว์นะ เวลาสัตว์บางประเภท เวลามาเกิดนะ มันเลี้ยงตัวเองได้เลย

อย่าง เต่า อย่างต่างๆ นี่โตขึ้นมานี่ มันหากินเองได้เลย จระเข้โตขึ้นมามันก็หากินของมันได้เลย เด็กถ้าโตมาพ่อแม่ไม่เลี้ยงตายหมด... ตายหมด... พ่อแม่ต้องเลี้ยง ต้องดูแลมัน เวลามันหิวมันกระหายมานะ มันก็ดูดแต่นิ้วมือนี่ มันคิดว่าเป็นนม ดูดเอาๆ นี่ แต่มันก็ดูดสิ่งใดไม่ได้หรอก

ใจเรานี่ยังภาวนากันไม่ได้เลย!

แล้วไร้เดียงสาบอกว่า มันว่างๆ ว่างๆ นี่ มันเป็นไปได้อย่างไร...!

ถ้ามันตั้งสติขึ้นมาเห็นไหม มันจะดูดหัวแม่มือมันก็ให้ดูดไปก่อน ในเมื่อมันช่วยตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องดูดหัวแม่มือไปแหละ นึกว่า โอ้โฮ...นี่เป็นธรรมะ! นี่เป็นธรรมะ!

เราก็ต้องตั้งสติของเราขึ้นมา ตั้งสตินะ คำบริกรรมขึ้นมา ให้จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา เหมือนเด็กมันจะโตขึ้นมา สิ่งใดเป็นอาหาร สิ่งใดไม่เป็นอาหารนะ ดูสิ เด็กมันโตขึ้นมา เวลาเราให้อาหารที่เผ็ด ให้อาหารที่เป็นรสขม มันไม่กินนะ มันจะกินแต่ของที่มันพอใจเห็นไหม

จิตของเราก็เหมือนกัน นี่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากของมันอยู่ มันก็พอใจของมัน มันจะเอาแต่ความพอใจ มันจะเอาแต่ตามใจมัน ถ้าเอาตามใจมันขาดสตินะ นี่นิพพาน! นิพพานเพราะอะไร เพราะสบายใจไง ในเมื่อใจมันพอใจใช่ไหม อะไรที่มันคร่อมไว้ อะไรที่มันพอไว้ มันก็พอใจมันไง

แต่ถ้าเรามีสตินะ อาหารนี่รสเผ็ด หรืออาหารนี้เป็นคุณกับเรา นี่ถ้าเป็นอาหารมีคุณกับเราเห็นไหม ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมานะ คำบริกรรมพุทโธๆๆ ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปนี่ จิตมันหดตัวมัน! จิตมันหดตัวมัน!

จิตมันไม่หดตัวมันเพราะสามัญสำนึกของธรรมชาติของจิตมันส่งออก พลังงานนี่มันออกคิด ตัวจิตคือตัวพลังงานเฉยๆ ไม่ใช่ความคิด ความคิดเป็นขันธ์ ๕ โดยสัญชาตญาณของมันมีอยู่แล้วที่มันจะคิดของมันอยู่ตลอดเวลา พุทโธๆๆ นี่ เปลี่ยนความคิดที่เป็นสามัญสำนึกที่มันเคยคิดให้คิดในพุทธานุสติ ให้คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหมือนเราเลย ไปอยู่ที่ไหนก็คิดถึงพ่อ ถึงแม่เรา คนๆ นั้นจะมีสติสัมปชัญญะนะ เวลาเราไปเที่ยวนะ เราคิดถึงแต่เพื่อนเรา เราคิดถึงแต่ความเพลิดเพลินของเรา เราไม่เคยคิดถึงพ่อแม่เราเลย เราไม่เคยคิดถึงบ้านเราเลย จะกลับบ้านค่อยคิดได้ พอจะกลับบ้านนะ เออ...กลับบ้านไปเจอหน้าพ่อแม่

นี่เหมือนกัน เวลามันคิดไปจนเต็มที่แล้ว มันยังไม่รู้สึกตัวมันเองเลย เราเปลี่ยนจากที่มันเคยคิดโดยสามัญสำนึก ให้มันเปลี่ยนมาเป็นพุทธานุสติ ระลึกถึงพ่อแม่ของเรา ระลึกถึงศาสดาของเรา ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ พุทโธๆๆๆ นึกไว้อย่างนี้ตลอดเวลา มันมีที่พึ่ง

พอมีที่พึ่ง เรามีพ่อ มีแม่ เรามีครูบาอาจารย์ เรามีองค์ศาสดาเป็นที่พึ่ง พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกนี่ นึกอะไรล่ะ นึกอยากได้รางวัลที่ ๑ มันก็นึกได้เศษกระดาษ นึกได้บุญกุศล มันก็นึกได้นามธรรม ถ้านึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงตัวเรา นึกจนมันเป็นอันเดียวกันเห็นไหม พลังงานที่มันส่งออก พุทโธๆ ๆ ๆ มันจะหดตัวเข้ามา มันจะเป็นเอกเทศของมันเข้ามา

จากความไร้เดียงสามันจะผงะเลย ถ้าจิตมันสงบ มันจะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! โอ้โฮ! ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ มันขี้ลอยน้ำ

แต่ถ้ามีสติปัญญาของมัน มันจะรู้ตัวของมัน จากเด็กไร้เดียงสา มันจะเป็นเด็กที่ว่า.. พ่อสอนให้หนูไม่ดูดบุหรี่ แต่ทำไมพ่อดูดบุหรี่ล่ะ พ่อบอกไม่ให้กินเหล้า ทำไมพ่อกินเหล้าล่ะ มันย้อนเอาแล้วนะ เด็กมันจะย้อนพ่อแม่มันแล้วว่า สอนไม่ให้ทำ แต่ทำไมพ่อแม่ทำ

จิตถ้ามันสงบแล้ว มันจะเข้ามารู้ตัวมันเอง สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งที่เป็นสมาธิมันก็รู้ว่าเป็นสมาธิ สิ่งที่ไม่เป็นสมาธิมันก็รู้ว่าไม่เป็นสมาธิ เมื่อก่อน ว่างๆ ว่างๆ อยู่ ไปสังคมโลกเห็นไหม เด็กมันก็ประสาเด็ก เพื่อนมันก็ชวนกันไป แต่ถ้ามันโตขึ้นมามันจะรู้เลยว่า อะไรที่ควรและไม่ควร

จิต ถ้ามันเคยสัมผัสสมาธิขึ้นมา มันจะรู้เลยว่าสมาธิเป็นอย่างนี้ ! ถ้าไม่ใช่สมาธิจะเป็นอย่างนี้ ! แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมานะ ถ้าเป็นโลกียปัญญาที่เกิดมาจากภพ เกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากอวิชชา ...นี่อะไรครับ นี่อะไรครับ ?

มันไม่รู้หรอก!

แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญา มันเกิดจากมัน เราทำของเราเอง ความรู้สึกแตกต่างกัน มันปล่อยวางมัน มันจะเห็นสภาพของมัน ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาในพุทธศาสนา ไม่ใช่ปัญญาอย่างที่จำๆ กันมาหรอก!

ปัญญาที่เขาคิดๆ กัน มันเป็นโลกียปัญญา ไม่ต้องศึกษามันก็เกิดเอง ปัญญาความคิดนี่มันเกิดตลอดเวลา

แต่เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราพบพระพุทธศาสนา เวลามันมาตรึกในธรรมของพระพุทธเจ้านี่ โอ้โฮ.. บรรลุธรรม! บรรลุธรรม!

ขี้โกง! ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะบรรลุมาได้อย่างไร มันไปทำอะไรมันถึงบรรลุ มันบรรลุเพราะมันจำมา เห็นสังคมประเพณีเขาทำกัน เห็นครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา ก็นิพพาน.. นิพพาน..

มันไม่ใช่พานแว่นฟ้านี่ มันจะเป็นพานอะไรของเอ็ง

แต่มันจะเป็นพานขึ้นมา มันต้องรู้จริงขึ้นมาอย่างนั้น เราถึงบอกว่า มันไม่ใช่การไร้เดียงสานะ โลกเขาไร้เดียงสากัน เราเป็นชาวพุทธ เราจะปฏิบัติ อย่าปฏิบัติแบบไร้เดียงสา ความไร้เดียงสามันน่ารักน่าชังต่อเมื่อเป็นเด็ก เขามีพ่อแม่ มีปู่ ย่า ตา ยาย ดูแล เราก็เหมือนกัน จะไร้เดียงสาในการประพฤติปฏิบัติใหม่ มันก็ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้ คอยนำ

ไร้เดียงสาทั้งนั้น คนไม่เคยก้าวเดินจะเอาอะไรมา เราเกิดมาจากพ่อ จากแม่ เห็นไหม เกิดมามีแต่ตัวเปล่าๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครมีสิ่งใดติดตัวมาเลย จิตเวลาจะปฏิบัติมันไม่มีสมบัติของมันเลย มันจะมีอะไร คุยนักคุยหนาว่านิพพานแขวนคอมา มันจะมีอะไร มันก็เหมือนเด็กเกิดใหม่ มันมีแต่ตัวล่อนจ้อน จิตมึงยังไม่รู้จักเลย แล้วมึงจะเอาอะไรมานิพพาน แล้วก็ว่างกันไป เห็นไหม

พอเป็นสังคมที่ไร้เดียงสา มันก็เชิดชูกันไป เชิดชูการไร้เดียงสา หลักการในพุทธศาสนามันเลยหมดเกลี้ยงไปหมดเลย ไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย

เราจะเป็นชาวพุทธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์เดียวนะ ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย ท่านตรัสรู้มาองค์เดียว ท่านวางหลักการในพุทธศาสนา ท่านเป็นสัตถา เทวมนุสสานัง เป็นครูของเทวดา ของมนุษย์สัตว์โลกทั้งหมดเลย

เรานะ ถ้าจิตเราเป็นไปได้จริงนะ มันเหนือโลก เหนือสงสาร เหนือทุกๆ อย่างเลย สิ่งที่โลกคาดกัน สิ่งที่โลกจินตนาการกัน ผิดหมด!

แม้แต่ตรึกธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ผิด! เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าชี้ไปอย่างหนึ่ง มันคิดไปอีกอย่างหนึ่ง มันจินตนาการไปอีกอย่างหนึ่ง

นี่ไง จินตมยปัญญาเห็นไหม สุตมยปัญญา คือ การศึกษา พอมีจินตมยปัญญา ระยะการพัฒนาการของจิตมันต้องมีการผิดพลาด

พอมีจินตนาการ ทางโลกเขาว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้ในทางวิชาการเราแยกแยะ เราทำได้ลำบาก เราจินตนาการคาดหมายไป แล้วเอาความรู้ตามไป ทางวิชาการเขาทำได้ มันพัฒนาการได้

แต่มันสิ้นสุดกิเลสไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้ !

ถ้ามันจะเป็นไปได้ มันต้องภาวนามยปัญญา เกิดจากภาวนา เกิดจากจิตแก้จิต เกิดจากปัจจุบันของจิต เพราะจิตของแต่ละคน พันธุกรรมของจิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดูสิ นั่งอยู่นี่คนเหมือนกันหมดเลย หันหน้าเข้ากันไม่มีใครเหมือนกันซักคน ไม่เหมือนกันเลย จิตยิ่งละเอียดกว่านี้อีก

จิตจะไม่มีเหมือนกันเลย การปฏิบัติจะไม่มีซ้ำกันเลย แม้แต่ดูลายนิ้วมือมันจะไม่มีซ้ำกันเลย แล้วเวลาจิตมาปฏิบัติ ไม่มีซ้ำกันเลย แต่อริยสัจมีอันเดียว มันเข้าใจกันได้ มันพิจารณาได้ มันเห็นกันได้

นี่พูดถึงว่าเราเห็นโลกไร้เดียงสาไง แล้วปฏิบัติก็ไร้เดียงสากัน ศาสนาพุทธมันจะว่างเปล่า แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ใครจะว่างเปล่าเรื่องของเขา มันเป็นประโยชน์ของเรา เราต้องตั้งใจของเราเอง แล้วเราทำของเราเอง โลกจะติเตียน คนโง่มากกว่าคนฉลาด คนโง่มากจะติเตียนขนาดไหน มันเรื่องของคนโง่

ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดคอยบอกคอยแนะนำเรา เราเอาอันนี้ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าซาบซึ้งมาก แต่นี่บอกว่านิพพาน.. นิพพาน.. แต่งงเป็นไก่ตาแตก นิพพานอยู่แต่หันรีหันขวาง เหมือนคนบ้า ตาขวางไง นิพพานแบบตาขวาง แล้วมันจะนิพพานที่ไหน มันต้องจับส่งโรงพยาบาล

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันจะรู้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต จิตใจมันจะเป็นของมันตามความเป็นจริง เราอยากจะให้มันเป็นแก่นเป็นสารของผู้ที่ปฏิบัติ ให้มันได้ผลจริงๆ แล้วมันเป็นจริง เราจะเป็นหลักเป็นชัยนะ ร่มโพธิ์ร่มไทรนะ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เราต้องหาที่พึ่งของเราให้ได้ พอเจริญเติบโตขึ้นมา มันจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราก่อน แล้วมันจะแผ่กิ่งก้านสาขา เพื่อสังคม เพื่อชาวโลก เอวัง